I love yogurt, especially whole milk honey flavored Greek yogurt! Many times I've found myself feeling very annoyed at the dairy section in grocery stores because it's so hard to find whole milk yogurt; not even whole plain yogurt sometimes! Most yogurt on the shelf are either zero fat/fat free or low fat yogurt. Though I enjoy yogurt, I don't eat a whole lot of it and I don't drink milk except a splash in my coffee. So, if I'm going to consume a dairy product, it has to taste good. I've found that my honey flavored Greek yogurt contains of 250 Cal per 6 oz, 14 grams of fat of which 9 grams is saturated (wow that is a lot of fat indeed!), but the taste is incredibly good! This led me to find out whether it's worth to sacrifice flavor for fat-free when it comes to yogurt. So, I did a little research... (Source from http://www.calorieking.com)
After comparing plain whole milk and fat-free yogurt, total calories were not much different (around 12 Cals); if you notice that fat-free yogurt has a lot more sugar added for the better taste (7.4 g more than in whole milk). If you are healthy individual who wants to lose weight by limiting calories, these two kinds of yogurt give you almost the same total calories. However, fat-free yogurt has significantly more calcium and protein content than whole milk yogurt. On the other hand, whole milk yogurt has more total fat, saturated fat and cholesterol than fat-free yogurt. For people who want to limit fat and cholesterol intake due to health issues; such as heart disease, hypertension, etc., consuming whole milk yogurt is not a good idea. Similar facts apply when comparing whole milk Greek yogurt and fat-free Greek yogurt. However, in my opinion if you want to eat Greek yogurt, you have to taste the creaminess from fat in the yogurt, after all that is what Greek yogurt is all about , THICK and CREAMY!
That leads me to the compliment between taste and health.
Since I love Greek yogurt so much, the low fat plain Greek yogurt is my best choice. It contains some fat to provide the creaminess and rich source of health goodness such as calcium, protein, potassium, etc., while it has low calories: 160 Cal per serving (8 oz). One option is to alternate whole milk yogurt with low fat or fat-free yogurt or you mix them together and separate into 2 servings and consume twice a day. You can also add to the yogurt your favorite fruits such as strawberries, blueberries, or your favorite preserve fruits for the sweetness as you want (not too much please!)
For people who are lactose intolerant (having less or no lactase, the enzyme that breaks down milk sugar), yogurt with active and live bacterial cultures can be better tolerated because the live bacteria helps digest some milk sugar (lactose). I would recommend yogurt to people who have mild symptoms of lactose intolerance because it is a great source of calcium and protein. However, frozen yogurt can not be a substitution for regular yogurt in terms of probiotics because it has no live cultures. Likewise, it will not help much with lactose intolerance, but it can be a good substitution for ice cream if you want to reduce fat, but NOT calories!
Finally, I cannot leave this topic without sharing my easy yogurt recipe, after all this is a cooking blog :)
Fruity Yogurt Parfait
Low fat (Greek) yogurt 1 cup
Strawberry Jam* 1 tbsp
Kiwi* 2 fruits, diced
Navel Orange* 1 fruits , diced
Directions;
Mix kiwi and orange together and divide them into 3 portions. Put 1/3 of mixed fruits into a glass, and then follow by 1/2 of yogurt. Next, layer mixed kiwi and orange on top of the yogurt. Mix 1/2 of yogurt and strawberry jam together and put on top of the third layer. Lastly, put mixed fruit on top of the yogurt and Enjoy!
* You can substitute with any kind of jam ( or just add 1 tsp of honey mixed with a little cinnamon) and add any fruits that you like (I just happened to have strawberry jam, kiwi and orange in my fridge.) Also, for breakfast you can always add any kind of granular or cereal in to the parfait.โยเกิร์ตธรรมดา(แบบมีไขมัน) หรือว่า แบบไม่มีไขมัน อันใหนดีกว่ากัน ?
โยเกิร์ตถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โยเกิร์ตมีทั้งแคลเซียม, วิตามินดี และฟอสฟอรัส เพื่อช่วยบำรุงกระดูก และมีประโยชน์ต่อสุขภาพตาเพราะว่ามีวิตามินเอ นากจากนั้นยังมีโพแทสเซียมที่ช่วยบำรุงหัวใจ นักวิชาการของเมอจร์โภชนาการ คณะสาธารณสุข ของมหาวิทยลัยฮาวาร์ด (Harvard University) แนะนำให้ผู้ใหญ่ (ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 19-50 ปี) บริโภคแคลเซียม 1 กรัม ต่อวัน (ดื่มนม หรือ กินโยเกิร์ต 1-2 แก้ว/ถ้วย ต่อวัน)
เราก็อีกคนหนึ่งที่ชอบกินโยเกิร์ต โดยเฉพาะกรีกโยเกิร์ต ที่นิวยอร์คบ้างครั้งหาซื้อโยเกิร์ตธรรมดา (whole milk yogurt) ยากมาก บางที่ถึงขั้นหงุดหงิดเพราะว่าโยเกริ์ตที่นี่กลายเป็นแบบไม่มีไขมัน หรือว่าแบบไขมันน้อยไปเกือบหมดแล้ว (เพราะว่าคนที่นี่กลัวอ้วน กับโรคหัวใจขึ้นสมอง) เราเป็นคนไม่ค่อยกินนม ยกเว้นใส่นมในกาแฟ ถ้าเราจะกินโยเกิร์ตทั้งที่มันต้องอร่อยเข้มขนหวานมัน หลังจากที่ค้นพบว่า กรีกโยเกิร์ตที่เราชอบกิน (1 ถ้วย) มี250 แคลลอรี่ มีไขมัน 14 กรัม และเป็นไขมันไม่ดีซะ 9 กรัม ซึ่งถือว่าเยอะมาก เราเลยตัดสินใจว่าต้องเสาะหาข้อมูลเพื่มขึ้น ก่อนตัดสินใจ ว่าโยเกิร์ตแบบใหนที่ดีที่สุดสำหรับเรา
หลังจากเปรียบเทียบโยเกิร์ตธรรมดา(แบบมีไขมัน)กับแบบไม่มีไขมัน เราพบว่าทั้งสอบแบบให้ประิมาณแคลลอรี่เกือบเท่ากัน (ต่างกันแค่ 12 แคลลอรี่ ) ถ้าสังเกตดีๆีแล้วจะพบว่า แบบไม่มีไขมันใส่น้ำตาลมากขึ้น ( 7.4 กรัม) เพิ่มรสชาติ สำหรับคนที่อยากลดน้ำนักโดยการจำกัดแคลลอรี่ กินแบบใหนก็ไม่ค่อยต่างกันเท่าใหร่ แต่ว่าโยเกิร์ตแบบไม่มีไขมันมีแคลเซียมกับโปรตีนมากว่า แล้วก็มีไขมันกับสารคลอเลสเตอรอลน้อยกว่า สำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวสุขภาพอย่างเช่น โรคหัวใจหรือว่าความดันสูง เราไม่แนะนำให้กินโยเกิร์ตแบบไม่ไขมัน แบบมีไขมันน้อยหรือว่าไม่มีไขมันจะดีมากกว่า ในส่วนของกรีกโยเกิร์ตทั้งแบบที่มีไขมันและไม่มีไขมันให้ผลการเปรียบเทียบคลายคลึงกับโยเกิร์ตธรรมดา ต่างกันที่กรีกโยเกิร์ตสมควรที่จะให้รสชาติเข้มข้นหวานมันมากกว่าโยเกิร์ตธรรมดา และนี่ก็คือสาเหตุที่เราชอบกินกรีกโยเกิร์ตามากกว่าชนิดอื่น
และแล้วเราก็ค้นพบว่า กรีกโยเกิร์ตแบบไขมันน้อยเป็นชนิดที่สำควรที่สุดสำหรับที่จะบริโภค เพราะว่ายังมีไขมันเล็กน้อยพอให้ความมันและเข้มข้น มีทั้งแคลเซียม โปรตีน และ โพแทสเซียมสูง แล้วก็มีแคลลอรี่และไขมันน้อย (160 แคลลอรี่ ต่อถ้วย) นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถผสมโยเกิร์ตแบบไม่มีไขมันกับแบบมีไขมัน แล้วก็แบ่งเอาไว้ทาน 2 ครั้งต่อวันก็ได้ ถ้าชอบหวานนิดนึงก็ผสมกับผลไม้ที่ชอบ หรือว่าผสมกับแยม(อย่าใส่เยอะไปนะคะ)
สำหรับคนที่กินนมไม่ได้ เพราะทำให้ท้องเสีย “แพ้นม” (lactose intolerance) เพราะว่าไม่มีเอนไซม์สำหรับย่อยน้ำตาลในนม (แลคโตส) โยเกิร์ตแบบที่ผสมแบคทีเรียที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร (โปรไบโอติค)ซึ่งสามารถช่วยย่อยนมและลดอาการแพ้นมได้ เราแนะนำให้กินโยเกิร์ตทีละน้อยๆ แล้วค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน แต่ต้องกินติดๆกันอย่างน้อย สองอาทิตย์นะคะถึงจะเห็นผล ถ้าทำได้ก็คุ้มนะคะเพราะโยเกิร์ตมีโปรตีน และแคลเซียม สูงดีต่อสุขภาพ ส่วนไอครีมโยเกิร์ต (frozen yogurt) ที่ทำจากโยเกิร์ตจะไม่มีเจ้าตัวแบคที่เรียที่ช่วยย่อย สำหรับคนแพ้นมคงไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น แต่เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการลดปริมาณ ไขมัน และ สารคลอเลสเตอร์รอล ไม่แนะนำสำหรับผู้ลดน้ำหนักค่ะ เพราะให้แคลลอรี่เกือบเท่าๆกับไอสครีม
สุดท้ายก็ปิดด้วยสูตรทำโยเกิร์ตพาเฟร์ค่ะ จะได้ไม่เสียชื่อเวบต์อาหาร
โยเกิร์ตพาเฟร์
โยเกิร์ตแบบไขมันน้อย (ไม่มีนำ้ตาล) 1 ถ้วย
*แยมสตรอเบอร์รี่ (หรือว่าแยมที่ชอบ) 1 ช้อนโต๊ะ
* ผลไม่ที่ชอบสัก 1-3 อย่าง 1-3 ลูก หั่นเป็นชิ้นพอคำ
(กล้วย ส้ม สตรอเบอร์รี่ มะม่วงสุก องุ่น)
ผสมผลไม้ที่ชอบแบ่งเป็นสามส่วน และแบ่งโยเกิร์ตเป็นสองส่วน แล้วหนึ่งส่วนใส่ลงไปแก้ว หลังจากนั้นก็ใส่โยเกิร์ต หลังจากนั้นตามด้วบผลไม้ ผสมหนึ่งสวนของโยเกิร์ตกับแยมแล้วก็ใส่ลงไปในแก้ว แล้วก็ตามด้วยส่วนสุดท้ายด้วยผลไม้ที่เหลือ แค่นี่ก็ได้กินแล้วค่ะ
*ถ้าไม่มีแยมก็ใส่น้ำผึ้งแทนได้นะคะ ผลไม้ก็ใส่อะไรก็ได้ที่ชอบแต่ต้องรสหวานนิดนึงนะคะ เลือกผลไม้ที่ไม่เปรี้ยว สำหรับทำเป็นอาหารเช้า ก็สามารถเพื่มคอร์นเฟลค (cereal) ลงไปได้ค่ะ จะได้อยู่ท้องทั้งเช้า